wat_bodhi_dhamm
bodhidhamm
bodi_dhammnavi bodi_dhammnavi bodi_dhammnavi bodi_dhammnavi bodi_dhammnavi bodi_dhammnavi bodi_dhammnavi bodi_dhammnavi


ศีล อุโบสถ
เตสํ สมฺปนฺนสีสานํ
สมฺมทญฺญา วิมุตฺตานํอปฺปมาทวิหารฺนํ
มาโร มคฺคํ น วินฺทติ
มารค้นหาอยู่
ย่อมไม่พบทางของท่านผู้มีศีลสมบูรณ์
อยู่ด้วยความไม่ประมาท หลุดพ้น
เพราะรู้ชอบ
จาก . . . ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท
ศีลเป็นอาภรณ์อันประเสริฐ
( สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ )
ประณีต ก้องสมุทร
ศีล ๕ เป็นศีลของคฤหัสถ์
ที่คฤหัสถ์ทั้งชายหญิงควรรักษาเป็นปกติ
เป็น ประจำตลอดชีวิต
ถึง กระนั้น ศีลที่ยิ่งกว่า ศีล ๕
ขัดเกลากิเลสได้ยิ่งกว่าศีล ๕
ที่คฤหัสถ์ควรรักษาตามโอกาส
เป็นครั้งคราว ก็มีอยู่ ศีลที่กล่าวนี้คือ

อุโบสถศีล หรือศีลอุโบสถ
ซึ่งคฤหัสถ์ชายหญิงบางท่านรักษาในวัน
อุโบสถ
สมัยก่อนท่านกำหนดวันรักษาอุโบสถศีลไว้มาก กว่าวันนี้
แต่ปัจจุบันเหลือวันรักษาอุโบสถศีลเพียง
เดือนละ ๔
ครั้งในวันพระคือในวันแรม ๘ ค่ำ
แรม ๑๔ ค่ำหรือ ๑๕ ค่ำ ขึ้น ๘
ค่ำและขึ้น ๑๕ ค่ำ แต่บาง
ท่านก็ประพฤติยิ่งกว่านั้น
โดยอาศัยแนวที่ท่านกล่าวไว้ใน
อรรถกถาราชสูตร
อังคุตตรนิกายติกนิบาตว่า อุโบสถมี
๓ อย่างคือ
๑. ปกติอุโบสถ
คืออุโบสถที่รักษากันเฉพาะวันที่กำหนดไว้
ในปัจจุบันนี้กำหนดเอาวันพระ
คือวัน ๘ ค่ำ และ ๑๕ ค่ำ
ทั้งข้างขึ้นและข้างแรม
๒. ปฏิชาครอุโบสถ
คืออุโบสถที่รักษากันครั้งละ ๓ วัน
คือถือเอาวันที่กำหนดไว้ในปกติอุโบสถ
เป็นหลัก แล้วเพิ่มรักษาก่อนกำหนด
๑ วัน เรียกว่า วันรับ
และหลังวันกำหนดอีก ๑ วัน เรียกว่า
วันส่ง เช่นวัน ๘
ค่ำเป็นวันรักษาปกติอุโบสถ
ผู้ที่จะรักษาปฏิชาครอุโบสถ
ก็เริ่มรักษาตั้งแต่วัน ๗ ค่ำ
ไปสิ้นสุดเอา เมื่อสิ้นวัน ๙ ค่ำ
คือรักษาในวัน ๗ ค่ำ ๘ ค่ำและ ๙
ค่ำ รวม ๓ วัน ๓ คืน
๓. ปาฏิหาริยปักขอุโบสถ
คืออุโบสถที่รักษากันเป็นประจำทุกวันตลอดพ รรษา
๓ เดือนอย่าง หนึ่ง
ถ้าไม่อาจรักษาได้ตลอด ๓ เดือน
ก็รักษาให้ตลอด ๑ เดือน
หลังจากออกพรรษาแล้ว
คือรักษาใน กฐินกาล
ที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตไว้ตั้งแต่แรม
๑ ค่ำเดือน ๑๑ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน
๑๒ อย่างหนึ่ง ถ้ายัง
ไม่อาจรักษาได้ตลอด ๑ เดือน
ก็รักษาเพียงครั้งละครึ่งเดือนหลังจากออกพ รรษาแล้ว
คือตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑
ถึงสิ้นเดือน ๑๑ อีกอย่างหนึ่ง ทั้ง ๓
อย่างนี้เรียกว่า
ปาฏิหาริยปักขอุโบสถ
ศีลอุโบสถนั้นเป็น ศีลรวม หรือ
ศีลพวง คือมีองค์ประกอบถึง ๘ องค์
ถ้าขาดไปองค์ใดองค์
หนึ่งก็ไม่เรียกว่า ศีลอุโบสถ
ตามพุทธบัญญัติ
เพราะฉะนั้นการล่วงศีลอุโบสถเพียงข้อใดข้อ เดียว
ก็ถือว่า ขาดศีลอุโบสถ
เพราะเหลือศีลไม่ครบองค์ของอุโบสถศีล
พูดง่ายๆว่าขาดศีลองค์เดียว
ขาดหมดทั้ง ๘ องค์

ผู้ที่รักษาอุโบสถศีลจึงต้องสำรวมระวัง
กาย วาจา เป็นพิเศษ
อุโบสถศีลที่ประกอบด้วยองค์ ๘
มีดังนี้
๑. ปาณาติปาตา เวรมณี :
งดเว้นจากการทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วงไป
๒. อทินนาทานา เวรมณี :
งดเว้นจากการถือเอาของที่เจ้าของมิได้ให้
๓. อพรหมจริยา เวรมณี :
งดเว้นจากการประพฤติผิดพรหมจรรย์
๔. มุสาวาทา เวรมณี :
งดเว้นจากการกล่าวเท็จ
๕. สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา
เวรมณี :
งดเว้นจากการดื่มสุราและเมรัย
อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท
๖. วิกาลโภชนา เวรมณี :
งดเว้นจากการบริโภคอาหารในเวลาวิกาล
๗. นัจจคีตวาทิต
วิสูกทัสสนมาลาคันธ วิเลปนธารณ
มัณฑนวิ ภูสนัฏฐานา เวรมณี : งด
เว้นจากการฟ้อนรำ ขับร้อง
ประโคมดนตรี
และดูการเล่นอันเป็นข้าศึกต่อกุศล
ลูบทาทัด
ทรงประดับตกแต่งร่างกายด้วยระเบียบดอกไม้
ของหอม เครื่องย้อม
เครื่องทาอันเป็นฐานะ
แห่งการแต่งตัว
๘. อุจจาสยนมหาสยนา เวรมณี :
งดเว้นจากการนั่ง
และการนอนบนที่นอนสูงใหญ่
อุโบสถศีลอันมีองค์ ๘ นี้ องค์ที่
๑ -๒-๔-๕ เหมือนศีลข้อ ๑-๒-๔-๕
ของศีล ๕ ที่แปลกกัน คือข้อ ๓
ศีล ๕ นั้น ข้อ ๓
ให้เว้นจากการประพฤติผิดประเวณีในผู้ที่มิ ใช่คู่ของตน
แต่ถ้าเป็นคู่ครอง ของตนแล้วไม่ห้าม
แต่ศีลข้อ ๓ ของอุโบสถศีลนั้น
ให้งดเว้นจากการเสพประเวณีโดยเด็ดขาด
แม้ใน คู่ครองของตนเอง จึงจะชื่อว่า
พรหมจริยา คือ ประพฤติอย่างพรหม
ส่วนที่เพิ่มเข้ามาคือ ศีลข้อ ๖-๗-๘
อุโบสถศีลนั้นก็มีองค์ของศีลเป็นเครื่องวิ นิจฉัยว่า
การกระทำเช่นไรจึงล่วงศีลไว้เช่นเดียวกับศ ีล
๕ สำหรับศีลข้อ ๑ -๒-๔-๕ นั้น
มีองค์เหมือนศีลข้อ ๑-๒-๔-๕ ของศีล
๕ ที่ได้กล่าวไปแล้ว สำหรับศีล
ข้อที่เหลือมีเครื่องวินิจฉัย ดังนี้
ศีลข้อ ๓ อพรหมจริยา เวรมณี มีองค์
๔ คือ ๑ . อชฺฌาจรณียวตฺถุ
วัตถุที่จะพึงประพฤติล่วง
( คือมรรคทั้ง ๓ ) ๒. ตตฺถ เสวนจิตฺตํ
จิตคิดจะเสพในวัตถุที่จะพึงล่วงนั้น
๓ . เสวนปฺปโยโค พยายามเสพ ๔.
สาทิยนํ มีความยินดี
ศีลข้อ ๖ วิกาลโภชนา เวรมณี มีองค์
๔ คือ ๑ . วิกาโล
เวลาตั้งแต่เที่ยงแล้วไปจนอรุณขึ้น ๒.
ยาวกาลิกํ
ของเคี้ยวของกินที่สงเคราะห์เข้าในอาหาร
๓ . อชฺโฌหรณปฺปโยโค
พยายามกลืนกิน ๔. เตน อชฺโฌหรณํ
กลืนให้ล่วงลำคอเข้าไปด้วยความเพียรนั้น
สำหรับศีลข้อนี้ ควรทราบว่า
เวลาตั้งแต่อรุณขึ้นไปจนถึงเที่ยง
เรียกว่า กาล คือเป็นเวลาบริโภค
อาหาร
ตั้งแต่เที่ยงแล้วไปจนถึงอรุณขึ้น
( ของวันใหม่) เรียกว่า วิกาล
เป็นเวลาที่ต้องเว้นจากการบริโภค
อาหารทุกชนิด เว้นน้ำธรรมดา
และน้ำดื่ม ๘ อย่าง ที่เรียกว่า ๑
อัฏฐบาน ที่มีพุทธานุญาตไว้ น้ำดื่ม
๘ อย่าง ( อัฏฐบาน ) นั้น คือ
น้ำที่ทำจากผลมะม่วง ๑
ผลหว้า ๑
ผลกล้วยมีเมล็ด ๑
ผลกล้วยที่ไม่มีเมล็ด ๑
ผลมะทราง ๑
ผลจันทน์ หรือผลองุ่น ๑
เง่าบัว ๑
ผลมะปรางหรือลิ้นจี่ ๑
ต่อ
มาทรงมีพุทธานุญาตน้ำผลไม้ทุกชนิด
เว้นน้ำต้มเมล็ดข้าวเปลือก
น้ำใบไม้ทุกชนิด เว้นน้ำ ผักดอง
น้ำดอกไม้ทุกชนิด
เว้นน้ำดอกมะทราง
และทรงอนุญาตน้ำอ้อยสด
อรรถกถาท่านสรุปว่า
ในเวลาวิกาลดื่มน้ำผลไม้ได้ทุกชนิด
เว้นผลไม้ที่มีผลโตกว่าผลมะตูม
( บางแห่งว่าผลมะขวิด )
วิธีทำนั้นก็ต้องคั้นเอาแต่น้ำ
และกรองให้ไม่มีกาก
และไม่ผ่านการสุกด้วยไฟ
น้ำปานะดังกล่าวนี้เท่านั้นที่ผู้รักษาอุโ บสถศีลควรดื่มในเวลาวิกาล
นอกนี้ไม่ควร พึงสังเกตว่า
ไม่มีน้ำนมสดทุกชนิด
คือน้ำนมของสัตว์
หรือนมที่ทำจากพืช เช่นถั่วเป็นต้น
นอกจากนี้
พระพุทธองค์ยังทรงอนุญาตให้บริโภคเภสัช
๒ ๕ อย่างคือ เนยใส เนยข้น น้ำมัน
น้ำผึ้ง น้ำอ้อย รวมทั้งงบน้ำอ้อย
ในเวลาวิกาลได้
๑-๒. พระวินัยปิฎกมหาวรรค
เภสัชชขันธกะ ข้อ ๘๖ และข้อ ๒๖
ศีลข้อ ๗ แบ่งเป็น ๒ ตอน
แต่ละตอนมีองค์โดยเฉพาะ
ถ้ากระทำผิดศีลตอนใดตอนหนึ่ง
เพียงตอนเดียว
ก็ถือว่าขาดหมดทั้งสองตอน
ศีลข้อ ๗ ตอนแรก
นัจจคีตวาทิตวิสูกทัสสนะ
เว้นจากการฟ้อนรำ ขับร้อง
ประโคมดนตรี
และดูการเล่นอันเป็นข้าศึกต่อกุศล
มีองค์ ๓ คือ ๑. นจฺจาทีนิ
การเล่นมีฟ้อนรำขับร้อง เป็นต้น ๒.
ทสฺสนตฺถาย คมนํ ไปเพื่อจะดูหรือฟัง
๓ . ทสฺสนํ ดูหรือฟัง
ศีล ตอนแรกนี้ท่านห้ามทั้งเล่นเอง
หรือใช้ให้ผู้อื่นเล่นแล้วตนดูหรือฟัง
ผู้รักษาอุโบสถศีลแล้วยัง
เปิดวิทยุฟังเพลง ฟังลิเก
หรือมหรสพต่างๆ
หรือเปิดโทรทัศน์แล้วหลบไปนั่งในที่ๆ
มองไม่เห็นภาพ อาศัย
ฟังแต่เสียงการละเล่นต่างๆ มีละคร
เป็นต้นจากโทรทัศน์นั้น
ย่อมไม่สมควรถือว่าผิดศีลข้อนี้
เพราะมีเจตนา ชัดแจ้ง
หากมีผู้อื่นเขา เปิดดูหรือฟังอยู่
ผู้รักษาอุโบสถศีลเพียงแต่ผ่านไป
ได้เห็นหรือได้ยินเข้า แล้วก็
ผ่านเลยไปอย่างนี้ไม่ผิดแต่ไม่ใช่ว่าไม่ได ้มีเจตนาจะดูหรือฟังมาก่อน
แต่ผ่านไปเห็นหรือได้ยินเข้า แล้ว
เลยพลอยร่วมวงดูหรือฟังกับเขาด้วย
อย่างนี้ก็ผิด
ปกติเราก็ดูก็ฟังกันอยู่ทักวันทุกคืน
เราจะหยุดดูหยุดฟังกันสักวันหนึ่ง
คืนหนึ่ง ตามอย่าง พระอรหันต์
ท่านมิได้เทียวหรือ
ก็ในวินัยของพระอริยเจ้านั้น
*การขับร้อง คือการร้องไห้
การฟ้อนรำ คือความเป็นบ้า
การหัวเราะจนเห็นฟันพร่ำเพรื่อ
คือความเป็นเด็กศีลข้อ ๗ ตอนหลัง
มาลาคันธวิเลปนธารณมัณฑนวิภูสนัฏฐานา
เวรมณี เว้นจากการลูบทา ทัดทรง
ประดับตกแต่งร่างกายด้วยระเบียบดอกไม้
ของหอม เครื่องย้อม
เครื่องทาอันเป็นฐานะแห่งการ
แต่งตัว มีองค์ ๓ คือ ๑. มาลาทีนํ
อญฺญตรตา เครื่องประดับตกแต่ง
มีดอกไม้และของหอม เป็นต้น ๒ .
อนุญฺญาตการณาภาโว
ไม่มีเหตุเจ็บไข้
เป็นต้นที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาต ๓.
อลงฺกตภาโว ทัดทรงประดับตกแต่ง
เป็นต้นด้วยจิตคิดจะประดับให้สวยงาม
ใน ข้อนี้มีข้อสังเกตคือ
บางท่านก่อนไปวัดเพื่อสมาทานอุโบสถศีล
ก็ตกแต่งร่างกาย ทาหน้า ทาปาก
เป็นต้น อย่างสวยงามเสียก่อน
เพราะคิดว่าได้กระทำก่อนสมาทานศีล
จึงไม่ผิด แต่เจตนาใน
การกระทำเพื่อให้สวยงามมีอยู่จึงถือว่าผิด
เพราะผู้ที่จะรักษาอุโบสถศีลนั้น
ต้องตั้งเจตนาที่จะรักษาไว้
ตั้งแต่รุ่งเช้าแล้วว่า
จะรักษาอุโบสถศีลตลอดวันหนึ่งคืนหนึ่ง
คำว่า วันหนึ่งคืนหนึ่งนั้น
ท่านกำหนดนับตั้งแต่อรุณขึ้นของวันที่รักษ าไปจนถึงอรุณขึ้นของวัน
ใหม่
ถ้าน้อยกว่ากำหนดนี้ก็ไม่ชื่อว่าวันหนึ่งค ืนหนึ่ง
ผู้รักษาอุโบสถควรระลึกถึงข้อนี้ด้วย
ศีลข้อ ๘ อุจฺจาสยนมหาสยนา
เวรมณี
งดเว้นจากการนั่งและการนอนบนที่นอนสูงใหญ่
มีองค์ ๓ คือ ๑. อุจฺจาสยนมหาสยนํ
ที่นั่งที่นอนสูงใหญ่ ๒.
อุจฺจสยนมหาสยนสญฺญิตา
รู้ว่าที่นั่งที่นอนสูงใหญ่ ๓ . อภิสีทนํ
วา อภิปชฺชนํ วา นั่งหรือนอนลง
คำว่า ที่นั่งและที่นอนสูงใหญ่
ในศีลข้อนี้
ท่านหมายเอาที่นั่งและที่นอนที่สูงใหญ่เกิ นประมาณ
ที่ประดับตกแต่งด้วยเครื่องปูลาดที่วิจิตร งดงาม
รวมไปถึงที่นอนที่ยัดด้วยนุ่มและสำลีด้วย
ทั้งนี้ก็เพื่อมิให้
ยินดีติดใจในความงามและสัมผัสที่อ่อนนุ่มส บายของที่นั่งที่นอนเหล่านั้น
อุโบสถ ศีลทั้ง ๔
ข้อที่แตกต่างและเพิ่มขึ้นจากศีล ๕
นั้นถ้าไม่พิจารณาให้ละเอียดแล้ว
จะไม่ เห็นว่าศีลทั้ง ๔
ข้อนี้เพิ่มความขัดเกลายิ่งขึ้น
จึงไม่น่ายากแก่การรักษา
แต่โดยที่แท้แล้วมิได้เป็นเช่นนั้น
มิฉะนั้นแล้วก็คงจะไม่มีผู้รักษาอุโบสถศีล น้อยมากอย่างนี้
เมื่อเทียบกับจำนวนพลเมืองทั้งประเทศ
ก็ ปกติของคฤหัสถ์นั้น
ยังยินดีติดใจในการการเสพประเวณี
ในการบริโภคจนเกิน ประมาณ
ในการตกแต่งร่างกายให้สวยงาม
ในการนอนสบาย
แต่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ
อุโบสถศีล ๔ ข้อนี้ขึ้น
เพื่อขัดเกลาความยินดี
ติดใจในสิ่งเหล่านี้ของคฤหัสถ์เป็นครั้งคร าว
เพียงชั่ววันหนึ่งคืนหนึ่งเป็นอย่างต่ำ
๓ วันเป็นอย่างกลาง
( ปฏิชาครอุโบสถ ) ๓ เดือนตลอด
พรรษาเป็นอย่างสูง

( ปาฏิหาริยปักขอุโบสถ )
มิได้ทรงบัญญัติให้รักษาจนตลอดชีวิตอย่าง
พระอรหันต์
เพราะฉะนั้น
ผู้ที่รักษาอุโบสถศีลเพียงชั่ววันหนึ่งคืน หนึ่งเพราะน้อมระลึกว่า
"แม้ เราจะรักษา
อุโบสถศีลจนตลอดชีวิตอย่างพระอรหันต์ไม่ได ้
ก็ขอดำเนินรอยตามท่านด้วยการรักษาอุโบสถศี ล
อันมีองค์ ๘ นี้ ขั่ววันหนึ่งคืนหนึ่ง "
เพียงเท่านี้ พระพุทธองค์ก็ยังตรัสว่า
การรักษาอุโบสถศีลของผู้นั้นมี
ผลมากมีอานิสงส์มาก*
แม้พระราชาผู้ทรงเป็นใหญ่ใน ๑๖
แคว้น ก็ยังไม่ถึงเสี้ยวที่ ๑๖
ของอุโบสถที่ประกอบ ด้วยองค์ ๘
เพราะศีลนั้นทำให้เกิดในสวรรค์
* อุโปสถสูตร อํ ติกนิบาต ข้อ ๕๑๐
วิสาขสูตร อํ อัฏฐกนิบาต ข้อ ๑๓๓
ก็สมบัติมหาศาลของพระราชา
ในเมืองมนุษย์นั้นเป็นของเล็กน้อย
เปรียบ เหมือนสมบัติ ของคนจน
เมื่อเทียบกับสมบัติและความสุขอันเป็นทิพย ์ในเทวโลก
ที่ผู้รักษาอุโบสถศีลจะพึงได้
รับเมื่อสิ้นชีวิตไปแล้ว
ทั้ง
นี้เพราะเทวดาผู้เกิดในสวรรค์ชั้นต่ำสุดคื อ
จาตุมมหาราชิกานั้นยังมีอายุยืนถึง
๕๐๐ ปีทิพย์
ซึ่งวันหนึ่งคืนหนึ่งของสวรรค์ชั้นจาตุมมห าราชิกานั้นเท่ากับ
๕๐ ปีมนุษย์ ลองคิดดูเองเถิดว่า
๕๐๐ ปีทิพย์ นั้นจะเท่ากับกี่ปีมนุษย์
ยิ่งถ้าได้เกิดในสวรรค์ชั้นสูงขึ้นไป
อายุก็เพิ่มขึ้นจากชั้นต่ำเป็นทวีคูณ
ชั้นปรนิมมิต
วสวตีอันเป็นสวรรค์ชั้นสูงสุด
เทวดาในชั้นนี้อายุยืนถึง ๑๖ ,๐๐๐
ปีทิพย์ ( เทวโลกหรือสวรรค์นั้นมี ๖
ชั้น คือ จาตุมมหาราชิกา ดาวดึงสา
ยามา ดุสิตา นิมมานนรตี
ปรนิมมิตวสวตี )
อุโบสถศีล จึงมีผลมาก
มีอานิสงส์มากอย่างนี้
ถึงกระนั้นพระพุทธองค์ก็มิได้ทรงสอนให้หลง ใหลติดใจในสมบัติ
และความสุขในโลกสวรรค์
เพราะมิฉะนั้นแล้วพระองค์จะไม่ตรัสกับ
นางวิสาขา มหาอุบาสิกาเลยว่า
อุโบสถ* มี ๓ อย่าง คือ
๑. โคปาลกอุโบสถ
อุโบสถที่เปรียบเหมือนคนรับจ้างเลี้ยงโค
๒ . นิคัณฐอุโบสถ
อุโบสถของพวกนักบวชนิครนถ์
๓ . อริยอุโบสถ อุโบสถของพระอริยะ
* อุโปสถสูตร อํ ติกนิบาต ข้อ ๕๑๐
บุคคล
ผู้รักษาอุโบสถเหมือนคนรับจ้างเลี้ยงโคนั้ น
เมื่อสมาทานอุโบสถศีลแล้ว
ก็ปล่อยใจให้
คิดแต่เรื่องราวของความโลภความต้องการ
อยากได้สิ่งโน้นสิ่งนี้มาบำรุงบำเรอตน
ไม่ได้คิดจะทำความ
ดีอย่างอื่นให้เกิดขึ้นเลย
ไม่ผิดอะไรกับคนที่รับจ้างเลี้ยงโค
ที่เมื่อถึงเวลาเช้าก็ไปรับโคมาเลี้ยง
เวลา
เย็นก็นำโคมาส่งเจ้าของแล้วรับเอาค่าจ้างไ ป
กลับบ้านแล้วก็คิดแต่ว่าพรุ่งนี้จะพาโคไปก ินหญ้า
กินน้ำที่ ไหน
คนรับจ้างนั้นไม่เคยได้รับประโยชน์อะไรจาก โค
มีน้ำนมเป็นต้นเลย
ผู้รักษาโคปาลกอุโบสถก็เช่น กัน
ไม่ได้รับประโยชน์จากอุโบสถศีลที่ตนรักษาเ ลย
การรักษาแบบ โคปาลกอุโบสถ
จึงไม่มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์
เพราะความตรึกไม่บริสุทธิ์ส่วน
นิคัณฐอุโบสถ นั้น
เป็นอุโบสถของนักบวชนอกพระพุทธศาสนา
ซึ่งแตกต่างจากการรักษา
อุโบสถในพระพุทธศาสนา กล่าวคือ
ในอุโบสถ พวกนักบวชนิครนถ์
จะแนะนำชักชวนสาวก เป็นต้นว่า
ไม่ให้ฆ่าสัตว์ในที่ทั้ง ๔
ในที่เลยร้อยโยชน์ไป
นอกจากนั้นมิได้ห้าม
การแนะนำชักชวนสาวกอย่างนี้
ชื่อว่า ห้ามการฆ่าสัตว์ในที่บางแห่ง
ไม่ห้ามฆ่าสัตว์ในที่บางแห่ง
เป็นการขาดความกรุณาเอ็นดูในสัตว์
บางพวก
มิได้ให้ความเอ็นดูแก่สัตว์ทุกหมู่เหล่า
อุโบสถของพวกนิครนถ์จึง
ไม่มีผลมากแต่ อริยอุโบสถ นั้น
เป็นอุโบสถที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก
เพราะผู้รักษามิได้ปล่อยใจให้
ฟุ้งซ่านไปในความยินดีต้องการ
หรือความเศร้าหมองใดๆ
ด้วยอำนาจของ กิเลส
แต่มาพากเพียรระลึก
ถึงพระคุณของพระพุทธ พระธรรม
พระสงฆ์
ตลอดจนระลึกถึงศีลที่บริสุทธิ์ไม่ด่างพร้อ ยของตน
และ
ระลึกถึงคุณธรรมของผู้ที่เกิดเป็นเทวดา
ว่าเทวดาเหล่านั้นได้เกิดเป็น เทวดา
เพราะประกอบด้วยศรัทธา ศีล สุตะ
จาคะ ปัญญา เช่นใด
แม้เราก็ประกอบด้วยศรัทธา ศีล สุตะ
จา คะ ปัญญา เช่นนั้น เมื่อพาก
เพียรระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า
เป็นต้น จิตย่อมผ่องใส ไม่เศร้าหมอง
เพราะกิเลส การรักษาอุโบสถ
โดยการไม่ปล่อยใจให้ตกไปในอำนาจของอกุศลแล ้วมาเจริญกุศลอย่างนี้
ชื่อ ว่า อริยอุโบสถ
อุโบสถจึงมีผลมาก
เพราะจิตของผู้รักษาบริสุทธิ์
ไม่มีผลมากเพราะจิตเศร้าหมอง
บุคคลที่รักษาอุโบสถแล้ว
เจริญพุทธานุสสติ
ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์
พระพุทธเจ้าตรัสว่า บุคคลนั้น
ชื่อว่าเข้าจำ *พรหมอุโบสถ
อยู่ร่วมกับพรหม
และมีจิตผ่องใสเพราะ ปรารภพรหม

* อุโปสถสูตร อํ ติกนิบาต ข้อ ๕๑๐
คำว่า พรหม ในที่นี้ แปลว่า ประเสริฐ
เป็นชื่อของพระพุทธเจ้า
บุคคลที่รักษาอุโบสถแล้ว
เจริญธัมมานุสสติ
ระลึกถึงคุณของพระธรรมเป็นอารมณ์
พระพุทธเจ้า ตรัสว่า บุคคลนั้น
ชื่อว่าเข้าจำ ธรรมอุโบสถ
อยู่ร่วมกับธรรม
และมีจิตผ่องใสเพราะปรารภธรรม
บุคคลที่รักษาอุโบสถแล้ว
เจริญสังฆานุสสติ
ระลึกถึงคุณของพระสงฆ์เป็นอารมณ์
พระพุทธเจ้า ตรัสว่า บุคคลนั้น
ชื่อว่าเข้าจำ สังฆอุโบสถ
อยู่ร่วมกับสงฆ์
และมีจิตผ่องใสเพราะปรารภสงฆ์
บุคคลที่รักษาอุโบสถแล้ว
เจริญสีลานุสสติ
ระลึกถึงความบริสุทธิ์แห่งศีลของตน
พระพุทธเจ้า ตรัสว่า บุคคลนั้น
ชื่อว่าเข้าจำ ศีลอุโบสถ อยู่ร่วมกับศีล
และมีจิตผ่องใสเพราะปรารภศีล
ศีลที่บริสุทธิ์นั้น คือ
ศีลที่ไม่ขาด
คือไม่ขาดศีลข้อต้นหรือข้อปลายเหมือนผ้าที ่ขาดตรงชาย

ไม่ทะลุ เหมือนผ้าที่ทะลุตรงกลาง
เพราะขาดศีลตอนกลางในระหว่างข้อต้นและข้อป ลาย

ไม่ด่าง
เหมือนแม่วัวที่มีรอยด่างสีดำหรือแดง
รูปกลมหรือยาว ที่หลังหรื่อที่ท้อง
เพราะขาด ศีลติดต่อกันเป็นลำดับ ๒
หรือ ๓ ข้อ ๑
ไม่พร้อย เหมือนแม่วัวที่มีจุดตามตัว
เพราะศีลขาดเป็นระหว่างๆ ๑
บุคคลที่รักษาอุโบสถแล้ว
เจริญเทวตานุสสติ
ระลึกถึงคุณธรรมที่ทำให้ไปเกิดเป็นเทวดา
พระพุทธเจ้าตรัสว่า บุคคลนั้น
ชื่อว่าเข้าจำ เทวดาอุโบสถ
อยู่ร่วมกับเทวดา
และมีจิตผ่องใสเพราะ ปรารภเทวดา

ผู้ รักษาอุโบสถ
เมื่อพากเพียรระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าเป ็นต้นอยู่อย่างนี้
จิตย่อมผ่องใส
ไม่เศร้าหมองเพราะกิเลส
ครั้นเจริญอนุสสติให้จิตใจสงบอย่างนี้แล้ว
ตายไปย่อมเกิดในสวรรค์
หากเจริญธรรมให้สูงยิ่ง กว่านี้
คือเจริญสมถะกรรมฐาน
เป็นนิจจนได้ฌาน
ฌานก็จะนำเกิดในพรหมโลกหรือหากเจริญวิปัสส นา
จนสำเร็จมรรคผล
เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนาแล้ว
ผู้รักษาอุโบสถศีลนั้นก็สามารถกำหนดการ
เกิดของตนได้ว่า ยังมีอีกหรือไม่
คือถ้าเป็นพระโสดาบัน
พระสกทาคามี พระอนาคามี
ก็ยังต้องเกิดอีก
แต่อย่างมากก็เกิดอีกไม่เกิน ๗ ชาติ
หากสำเร็จเป็นพระอรหันต์
ก็ไม่เกิดอีกเลย ก็
เพราะอริยอุโบสถมีผลมาก
มีอานิสงส์มากอย่างนี้
คืออย่างต่ำทำให้เกิดในสวรรค์ ๖
ชั้น อย่างกลางทำให้เกิดเป็นพรหม
อย่างสูงทำให้ไม่เกิดอีกเลย
ทุกท่านที่รักษาอุโบสถ
จึงควรรักษาอริย อุโบสถ
ดำเนินรอยตามพระอริยะ
ส่วนผลที่ได้รับจะสูงต่ำเพียงใดนั้น
ขึ้นอยู่กับการกระทำของเราเอง
รวมทั้งปัญญาบารมีที่ได้สั่งสมอบรมมาแต่ปา งก่อนด้วยใน
สักกสูตร อังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต
ข้อ ๔๖
พระพุทธองค์ตรัสเตือนอุบาสกชาว
สักกชนบท
ที่รักษาอุโบสถศีลเป็นบางครั้งบางคราวว่า
เป็นผู้ประมาทไม่ทำตามคำพร่ำสอนของพระองค์
ในเมื่อชีวิตมีภัยเพราะความโศก
มีภัยเพราะความตายอย่างนี้
ก็ยังไม่รักษาอุโบสถศีลให้เป็นปกติ
ให้ สม่ำเสมอ
สาวกของพระองค์นั้นปฏิบัติตามคำพร่ำสอนของ พระองค์โดยไม่ประมาทตลอด
๑๐ ปี ย่อม
ได้รับความสุขเพียงอย่างเดียวตลอด
๑๐๐ ปีก็มี หมื่นปีก็มี แสนปีก็มี
พึงเป็นพระโสดาบัน พระสกทา คามี
พระอนาคามีก็มี
อย่าว่าแต่ผู้ที่ปฏิบัติตามคำพร่ำสอนของพร ะองค์ตลอด
๑๐ ปีเลย แม้ปฏิบัติตามคำสอนของ
พระองค์น้อยกว่านั้นลงมาตามลำดับจนถึง
๑ วัน ๑ คืน
ก็พึงได้รับความสุขอย่างเดียวตลอด
๑๐๐ ปีก็มี หมื่นปีก็มี แสนปีก็มี
พึงเป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี
พระอนาคามีก็มี
เมื่ออุบาสกชาวสักกชนบทได้ฟังพระพุทธองค์ต รัสเตือน
พร้อมทั้งแสดงอานิสงส์ของอุโบสถศีล
เช่นนั้น ก็กราบทูลรับรองว่า
ต่อแต่นี้ไปจะรักษาอุโบสถศีลโดยสม่ำเสมอ
มิได้ขาด
ก็ ชีวิตของเราทั้งหลายในปัจจุบันนี้
ล้วนมีภัยอันตรายอยู่รอบตัว
ไม่มีใครทราบว่าความตายจะ
มาถึงเราเมื่อไร
แล้วเรายังจะประมาทไม่ทำตามคำพร่ำสอนของพร ะพุทธองค์ด้วยการรักษาศีล
๕ หรือ
อุโบสถศีลให้สม่ำเสมอดอกหรือ
ในเมื่อศีลนั้นเป็นอริยทรัพย์ประการหนึ่งใ นบรรดาอริยทรัพย์
๗ ประการ
ที่พร้อมจะติดตามไปให้ความสุขแก่ผู้รักษาต ลอดไป
ตราบเท่าที่ยังต้องเกิดอยู่
เพราะ ฉะนั้น ผู้รักษาศีลดีแล้ว
จึงไม่ต้องตั้งเจตนาปรารถนา
ขอความไม่เดือดร้อนและ ความสุข
จงเกิดแก่เรา
ด้วยว่าความไม่เดือดร้อนและความสุข
ย่อมเกิดแก่ผู้มีศีลเป็นธรรมดา
แต่ผู้ทุศีลถึงจะตั้งเจตนาปรารถนาว่า
ขอความไม่เดือดร้อนและความสุขจงเกิดแก่เรา
เขาก็หา ได้รับผลสมตามเจตนาไม่
เพราะความเดือดร้อน
และความทุกข์ย่อมเกิดแก่ผู้ทุศีลเป็นธรรมด า ธรรมที่ปฏิบัติดีแล้ว
ย่อมนำสุขมาให้อย่างนี้
สำหรับศีลของคฤหัสถ์อีกอย่างหนึ่ง
คือ ศีล ๘ ก็มี ๘ ข้อเหมือนอุโบสถศีล
เพียงแต่ไม่กำหนด
วันรักษาเหมือนอุโบสถศีล
จะรักษาวันใด เมื่อไรก็ได้
เป็นการสะดวกสบายสำหรับผู้ที่ไม่อาจจะรักษ าอุโบสถ
ศีลในวันพระ ก็สามารถรักษาศีล ๘
ในวันอื่นเป็นการทดแทนได้
บางท่านมีศรัทธารักษาศีล ๘
จนตลอดชีวิต ควรแก่การสรรเสริญ
และหากว่าท่านที่รักษาศีล ๘
นั้นจะได้รักษาศีล ๘
ของท่านตามแบบอย่างของพระอริยะ
แล้ว ศีลของท่านก็ย่อมมีผลมาก
มีอานิสงส์มาก
อนึ่ง ในการตั้งใจรักษาศีลนั้น
อย่านึกว่าต้องไปสมาทานกับพระที่วัดเท่านั ้นจึงจะเป็นศีล
ความจริง แล้วจะสมาทานที่ไหนก็ได้
คือจะสมาทานที่วัด ในป่า
หรือในบ้าน
หากมีเจตนาคิดงดเว้นก็เป็นศีลแล้ว
หรือ
จะคิดงดเว้นเองโดยมิต้องสมาทานก็เป็นศีล
โดยเฉพาะอุโบสถศีลนั้น
ควรตั้งเจตนาในการรักษาไว้แต่รุ่งเช้า
หากมีโอกาสไปวัดจะสมาทานกับพระอีกครั้งหนึ ่งก็สมควร
ทั้งนี้เพราะตามวัดต่างๆนั้น
กว่าจะถึงเวลาที่พระ
ท่านลงโบสถ์และให้ศีล
ก็มักเป็นเวลาหลังจากที่ท่านฉันอาหารเช้าแ ล้ว
( โดยมากประมาณ ๙ น. ) ซึ่งเลย
เวลาที่อรุณขึ้นมาหลายชั่วโมง
ด้วยเหตุนั้นจึงควรสมาทานด้วยตนเองเสียก่อ นแต่รุ่งเช้า
ในอดีต
พระพุทธเจ้าของเราในสมัยที่ยังเป็นพระมหาช นกโพธิสัตว์
ก็ยังได้สมาทานศีลอุโบสถด้วย
ตนเอง ในขณะที่ลอยอยู่กลางทะเล
แม้ ในสมัยพุทธกาล
คนส่วนมากก็สมาทานศีลที่บ้าน
ในวันอุโบสถ
แล้วจึงถือดอกไม้ของหอม
ไปวัดเพื่อฟังธรรม ( อรรถกถาเล่า )
ท่านมิได้ไปรับศีลจากพระที่วัด
หากการรักษาศีลจำ
เป็นต้องไปสมาทานกับพระเพียงอย่างเดียว
ก็น่าคิดว่าผู้ที่อยู่ในถิ่นกันดาร
ในที่ไม่มีวัด ไม่มีพระ
แต่นับถือพระพุทธศาสนา
มิหมดโอกาสที่จะรักษาศีลหรือ
เพราะเหตุนี้การทำอะไร
จึงต้องอาศัย ปัญญา
แม้การรักษาศีลก็ต้องอาศัยปัญญาพินิจพิจาร ณาให้รอบคอบ
อย่าเพียงแต่ทำตามๆ
กันโดยขาดเหตุผลด้วยเหตุนี้พระอรหันต์ทั้ง หลายจึงกล่าวว่า
* ศีลเท่านั้นเป็นเลิศ
แต่ผู้มีปัญญาเป็นผู้สูงสุด ในโลกนี้
ความชนะในมนุษยโลกและเทวโลก
ย่อมมีได้เพราะศีลและปัญญา
* ขุททกนิกาย, ปุณณเถรคาถา,
สีลวเถรคาถา
ความชนะในที่นี้ หมายถึง
ความชนะกิเลส มนุษย์ก็ตาม
เทวดาก็ตาม จะชนะกิเลส
ได้ก็เพราะศีลและปัญญา
ศีลที่มีปัญญาเป็นพื้นฐาน จึงไม่ขาด
ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นไท
ไม่เป็นทาส ของตัณหาและทิฏฐิ
กล่าวคือ ผู้รักษาศีล
มิได้มุ่งรักษาเพราะต้องการลาภ ยศ
สรรเสริญ หรือสมบัติใดๆ
มีโภคสมบัติเป็นต้น
หรือมิได้รักษาเพราะเห็นผิดว่า
เราจะบริสุทธิ์จากกิเลสได้เพราะศีลนี้
หมายความว่าผู้นั้น เห็นผิดว่า
ลำพังศีลอย่างเดียว
คือศีลเท่านั้นบรรลุนิพพานได้
ซึ่งเห็นผิดไปจากความจริง
เพราะผู้จะบรรลุ นิพพานได้นั้น
ต้องประกอบด้วย ศีล สมาธิ
และปัญญา เบื้องต้นนั้น
ศีลเป็นบาทให้เกิดสมาธิ
สมาธิเป็นบาทให้เกิดปัญญา
แต่เบื้องปลาย ศีล สมาธิ และปัญญา
จะประชุมพร้อมกันเป็นมรรคสมังคี
ในอริยมรรค มีองค์ ๘ เป็นอริยศีล
อริยสมาธิ และอริยปัญญา
อริยศีลที่ประกอบด้วยอริยสมาธิ
และอริยปัญญา ในขณะนั้นเท่านั้น
ที่บรรลุนิพพานได้ อริยศีลนี้ จึงชื่อว่า
สีเลน นิพฺพุติ ยนฺติ โดยแท้จริง
ด้วย เหตุนี้ ศีลที่มีปัญญาเป็นพื้นฐาน
จึงเป็นเครื่องกั้นทุจริต

เป็นเสบียงเดินทางชั้นเยี่ยม
เป็นพาหนะอันประเสริฐ
เป็นเครื่องหอมที่ฟุ้งไปทั่วทิศานุทิศ
เป็นสะพานนำไปถึงนิพพาน
หากยังไม่ ปรินิพพานตราบใด
ย่อมเกิดเป็นมนุษย์ *
และเทวดาเท่านั้น


เขียนโดย พระปฏิภาณ รตนปญฺโญ





Tel. (069) 300 66768-9    Fax (069) 300 66970    Email. info@bodhi-dhamm.de 
wat_pah_kammatarnlaungta_mahabuapalanjit84000

 Impressum